วิธีสร้างบ้านให้เย็น อยู่สบาย ตามธรรมชาติ

รู้จักแนวทางการออกแบบโดยผสมผสานระหว่าง วิธีธรรมชาติ และการใช้เครื่องกล เพื่อออกแบบ วิธีสร้างบ้านให้เย็น บ้านเย็นวิถีธรรมชาติ ช่วยลดการใช้พลังงาน

วิธีสร้างบ้านให้เย็น แนวทางการออกแบบบ้านให้เย็นสบายมี 2 วิธี คือ การออกแบบโดยอาศัยธรรมชาติ (Passive Cooling Design) เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพอากาศ ทิศทางแสงแดดและลม อีกวิธีเป็นการออกแบบโดยใช้เครื่องกล (Active Cooling Design) ซึ่งจะช่วยในสภาวะที่สภาพแวดล้อมตามธรรมชาติไม่เอื้ออำนวย โดยควรใช้ทั้งสองวิธีร่วมกัน เพราะเมื่อออกแบบโดยอาศัยธรรมชาติได้ดีแล้ว แม้จะใช้เครื่องกลก็จะลดการใช้พลังงานได้ในระยะยาว แบบ บ้านเย็นวิถีธรรมชาติ มีแนวทางการออกแบบ ดังนี้

วิธีสร้างบ้านให้เย็น

1. วางแปลนบ้านถูกทิศให้หลบแดด รับลม

วางแปลนบ้านตามทิศเหนือ-ใต้ จุดเริ่มต้นของ บ้านเย็น ที่อยู่สบาย คือ การวางตำแหน่งบ้านให้ถูกต้อง ด้วยการวางตัวบ้านขนานแนวโคจรของดวงอาทิตย์ ให้ด้านแคบของบ้านหันไปทิศตะวันออกและตะวันตกซึ่งมีแดดแรง แล้วหันด้านยาวของบ้านไปทางทิศเหนือและใต้ซึ่งได้รับแดดน้อยกว่า และทำช่องหน้าต่างเปิดรับลมธรรมชาติให้มากที่สุด โดยมีทิศทางลมและแสงแดดดังนี้

  • a.ช่วงกลางเดือนตุลาคม-กลางเดือนกุมภาพันธ์ มีลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือพัดพาอากาศหนาวมา และช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์-กลางเดือนพฤษภาคม เป็นช่วงลมเปลี่ยนทิศจากลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือเป็นลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้
  • b.ช่วงกลางเดือนพฤษภาคม-กลางเดือนตุลาคม มีลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้พัดพาฝนและความชื้นมา

ทิศทางแดด

  • c.ช่วงเดือนมีนาคม และกันยายน เป็นช่วงที่ดวงอาทิตย์โคจรใกล้โลกมากที่สุด แสงแดดช่วงเช้าจะมาทางทิศตะวันออก แสงแดดช่วงบ่ายและเย็นจะมาทางทิศตะวันตก  ส่วนทางทิศเหนือและใต้จะได้รับแสงแดดระหว่างวันในปริมาณน้อย
  • d.ตั้งแต่เดือนมิถุนายน เป็นช่วงที่ดวงอาทิตย์โคจรอ้อมไปทางทิศเหนือมากที่สุด ดังนั้นแสงแดดช่วงเช้าจะมาทางทิศตะวันออกและเหนือ แสงแดดช่วงบ่ายถึงเย็นจะมาทางทิศตะวันตกและทิศเหนือบางส่วน ในช่วงนี้ทิศใต้จะได้รับแสงแดดในปริมาณน้อย
  • e.ตั้งแต่เดือนธันวาคม เป็นช่วงที่ดวงอาทิตย์โคจรอ้อมไปทางทิศใต้มากที่สุด ทิศใต้จึงได้รับแสงแดดตลอดทั้งวัน และทิศเหนือจะได้รับแสงแดดน้อย

2. จัดห้องตามทิศและช่วงเวลาการใช้งาน

เนื่องจากเราไม่สามารถจัดวางทุกห้องให้อยู่เฉพาะทิศเหนือและตะวันออกซึ่งโดนแดดน้อยได้ทั้งหมด แต่สามารถจัดตามช่วงเวลาการใช้งานได้ เช่น ห้องน้ำและห้องครัวซึ่งมีความชื้นสูง มีการใช้งานเป็นครั้งคราวก็เหมาะกับทิศตะวันตกและทิศใต้ หรือถ้าเราใช้ห้องทำงานเฉพาะช่วงเช้าถึงช่วงกลางวัน การจัดห้องทำงานไว้ในทิศตะวันตกก็สามารถทำได้เพราะแดดจะเข้าช่วงบ่าย โดยหลีกเลี่ยงห้องที่ใช้งานช่วงบ่ายถึงกลางคืนไว้ในทิศที่ร้อน เช่น ห้องนอน ห้องนั่งเล่น เพราะผนังที่รับแดดมาทั้งวัน จะคายความร้อนมาในช่วงกลางคืน ทำให้ห้องนั้นยังคงร้อนในช่วงเวลาที่เราใช้งาน

3. เทคนิคการวางแปลนหลบแดด รับลม

การวางแปลนบ้านที่ดีสามารถช่วยให้ บ้านเย็น ได้ด้วยตัวเอง มีไอเดียการวางแปลนดังนี้

  • ปิดนอก เปิดใน สไตล์คนเมือง โดยสร้างพื้นที่เปิดโล่งไว้ภายในบ้าน สามารถเปิดรับลมได้แบบเป็นส่วนตัว
  • วางแปลนให้บังแดดกันเอง เช่น การยื่นอาคารบางส่วนเพื่อช่วยบังแดดให้กับพื้นที่ใช้งานหลัก
  • วางส่วนเซอร์วิส ทางเดิน ที่เก็บของ ซึ่งไม่ได้ใช้งานบ่อยให้บล็อกความร้อนเข้าบ้าน
  • เพิ่มพื้นที่ผิวอาคาร เช่น การทำวางแปลนเป็นรูปตัวแอลและรูปตัวยู ช่วยระบายอากาศและเปิดมุมมองได้มากขึ้น
  • ลดขนาดอาคาร จัดวางเป็นกลุ่ม แทนการทำอาคารขนาดใหญ่หลังเดียว
วิธีสร้างบ้านให้เย็น

4. สร้างสภาพแวดล้อมรอบบ้านให้เย็น

สภาวะน่าสบายไม่ใช่เพียงการออกแบบตัวบ้าน วิลล่าภูเก็ต แต่ยังรวมถึงการสร้างสภาพแวดล้อมรอบบ้านด้วย โดยลดความรุนแรงของความร้อนในช่วงกลางวัน เช่น ปลูกต้นไม้ใหญ่ ไม้พุ่ม ไม้คลุมดิน มีพื้นดินเปียกชื้นอยู่ในที่ร่ม อีกทั้งลดการสะสมความร้อนที่จะทำให้บริเวณโดยรอบมีอุณหภูมิสูงขึ้น โดยสามารถใช้องค์ประกอบเหล่านี้ช่วยในการออกแบบได้

  • น้ำ ช่วยเพิ่มความชื้นสัมพัทธ์ในอากาศผ่านการระเหยของน้ำและลดการกักเก็บความร้อนของพื้นที่ อุณหภูมิที่ต่างกันของผิวน้ำและผิวดินจะทำให้เกิดการเคลื่อนที่ของอากาศเป็นกระแสลม
  • ต้นไม้ ช่วยดูดซับความร้อน สร้างร่มเงา ลดการสะท้อนความร้อน และเพิ่มปริมาณความชื้นในอากาศ โดยบริเวณที่มีการปลูกต้นไม้จะมีอุณหภูมิต่ำกว่าพื้นที่โดยรอบประมาณ 2-2.5 องศาเซลเซียส อีกทั้งการปลูกกลุ่มต้นไม้จะช่วยกำหนดทิศทางลมได้ อาจสร้างช่องลมให้พัดเข้ามา หรือกำบังลมให้พื้นที่ที่มีลมแรงเกินไป
  • พื้นที่เปิดโล่ง การสร้างพื้นที่เปิดโล่งจะทำให้อากาศร้อนสามารถระบายออกจากพื้นที่ได้สะดวก และอากาศเย็นจะพัดพาเข้ามาแทน จึงช่วยทำให้อุณหภูมิภายในพื้นที่ลดลง
  • วัสดุพื้นผิว เลือกใช้วัสดุที่สามารถกักเก็บความชื้นได้ เช่น แนวรั้วไม้ พื้นกรวด พื้นหญ้า แทนวัสดุที่สะสมความร้อน เช่น พื้นคอนกรีต เพราะหากพื้นที่รอบบ้านมีความร้อน ตัวบ้านและภายในบ้านก็จะถ่ายเทความร้อนออกมาได้ช้าลง

5. ใช้ประโยชน์จากแสงธรรมชาติ

การทำช่องเปิดให้แสงธรรมชาติเข้ามาภายในบ้านจะช่วยให้รู้สึกสบายไม่อึดอัด และลดการใช้พลังงานไฟฟ้าได้มาก แต่แสงธรรมชาติจะมาพร้อมกับความร้อนและความจ้า ถ้าเข้ามามากเกินไปก็จะทำให้อยู่ไม่สบาย บ้านพูลวิลล่าลอฟท์ สวยๆ โดยสามารถออกแบบช่องเปิดเพื่อรับแสงสว่างทางอ้อม (Indirect light) ซึ่งมีแสงนวลตาและความร้อนน้อยได้หลายวิธี เช่น

  • ทำกันสาดบังแดดและเปิดช่องแสงด้านบนให้แสงสะท้อนขึ้นฝ้าเพดาน
  • ทำหลังคาสกายไลต์ด้านทิศเหนือให้ส่องลงกระทบผนังเพื่อกระจายแสงภายในห้อง
  • ทำหลังคาสกายไลต์แล้วทำฝ้าเพดานอีกชั้นเพื่อสะท้อนแสงขึ้นฝ้าเพดาน

6. การระบายความร้อนภายในอาคาร

ความร้อนจากแสงอาทิตย์ผ่านเข้ามาในบ้านได้หลายทาง เช่น การแผ่ความร้อนจากหลังคา การแผ่ความร้อนผ่านผนังบ้าน และลมร้อนพัดเข้ามาทางช่องประตูหรือหน้าต่าง เมื่อความร้อนเข้ามาแล้วจะสะสมอยู่ภายในบ้าน จึงควรออกแบบให้มีการระบายอากาศร้อนออกเพื่อให้อากาศเย็นไหลเข้ามาแทนที่ ปกติอากาศร้อนจะลอยตัวขึ้นจึงควรทำช่องระบายอากาศที่ส่วนบนของห้อง หรือใช้หลักการ Stack effect ventilation เป็นการระบายอากาศในแนวตั้ง โดยอาศัยอุณหภูมิที่ต่างกันภายในปล่องระบายอากาศ ทำให้ความหนาแน่นอากาศแตกต่างกัน จะเกิดแรงพยุงตัวให้อากาศลอยขึ้น ยิ่งอุณหภูมิต่างกันมาก และปล่องระบายอากาศมีความสูงมาก อากาศก็จะลอยตัวแรงขึ้นตามไปด้วย

7. ลดพื้นที่ดาดแข็ง ลดการสะสมความร้อน

พื้นที่ดาดแข็ง คือพื้นที่ลักษณะเป็นผืนทำจากวัสดุที่มีมวลหนาแน่น เช่น พื้นคอนกรีต หลังคาคอนกรีต ผนังปูน ซึ่งกักเก็บความร้อนได้นาน โดยเฉพาะพื้นลานคอนกรีตด้านทิศตะวันตกและหลังคาคอนกรีตจะสะสมความร้อนไว้ตลอดทั้งวัน แล้วค่อยๆ คายความร้อนออกมาในตอนเย็นและกลางคืน ทำให้พื้นที่รอบๆ ยังคงอุ่นอยู่ มีผลให้ลมพัดพาความร้อนเข้าบ้าน และตัวบ้านระบายความร้อนออกมาได้ช้า คนในบ้านจึงยังรู้สึกร้อนแม้จะไม่มีความร้อนจากแสงอาทิตย์แล้วก็ตาม แม้จะเปิดเครื่องปรับอากาศ เครื่องก็จะทำงานหนักและเปลืองค่าไฟฟ้า ซึ่งป้องกันได้โดยการเพิ่มร่มเงาให้พื้นที่ดาดแข็ง ใช้วัสดุที่มีมวลหนาแน่นน้อยกว่าแทน หรือสามารถดูดซับความชื้นได้ดีแทน เช่น บล็อกหญ้า พื้นไม้ พื้นกรวด